8 ตัวอย่างเทคโนโลยี AI ยอดฮิตในชีวิตประจำวัน ที่คุณอาจยังไม่รู้

ปัจจุบันเทคโนโลยี AI ที่เป็นที่พูดถึงค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในส่วนของการทำงาน และ การใช้ชีวิตประจำวัน วันนี้ทาง Code Genius คัด 10 ตัวอย่างเทคโนโลยีที่ใช้ Ai ที่น่าสนใจมาให้อ่านกัน

Category :

8 Examples of AI in Daily Life

8 ตัวอย่างเทคโนโลยี AI ยอดฮิตในชีวิตประจำวัน ที่คุณอาจยังไม่รู้

เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI มีส่วนสำคัญในชีวิตประจำวันของเราเป็นอย่างมากไม่ว่าจะในเรื่องการทำงาน การศึกษาเรียนรู้ ไปตลอดจนการใช้ชีวิตประจำวัน โดยในบทความนี้ Code Genius จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ 8 ตัวอย่างเทคโนโลยี AI ในชีวิตประจำวันที่ช่วยอำนวยความสะดวก และทำให้การดำเนินชีวิตเป็นเรื่องง่ายมากยิ่งขึ้น

ปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial Intelligence (AI) คืออะไร ?

ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI คือ การสร้างให้คอมพิวเตอร์หรือเครื่องจักรรู้จักระบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งเป็นการนำข้อมูลไปต่อยอด และนำไปแก้ปัญหาใหม่ ๆ ในรูปแบบกระบวนการคิดที่เลียนแบบคล้ายคลึงกับสมองมนุษย์ที่เรียกว่า Neural Network เป็นแกนหลักของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์โดยใช้เซลล์ประสาทเทียมเพื่อประมวลผลข้อมูลร่วมกันและใช้การคำนวณทางคณิตศาสตร์เพื่อประมวลผลข้อมูลและแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน ซึ่งในปัจจุบันเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันของพวกเราหลาย ๆ คนโดยที่บ้างครั้งเราอาจไม่รู้ตัวว่าสิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านั้นคือสิ่งที่ใช้เทคโนโลยี AI เป็นเครื่องมือช่วยในการทำงาน สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่สำคัญมีอะไรบ้าง

เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์พัฒนาขึ้นมาอย่างไร

ปัญญาประดิษฐ์ หรือที่เรียกกันว่า AI เป็นคำยอดฮิตที่ปัจจุบัน และหลาย ๆ คนอาจจะคุ้นหูอยู่บ้างไม่มากก็น้อย เริ่มมีการพัฒนาอย่างจริงจังในปี 1956 โดยกลุ่มของผู้เชี่ยวชาญแนวหน้าจากหลาย ๆ สถาบันได้ร่วมกันทำงานวิจัยเกี่ยวกับ AI มีผู้นำทีม ได้แก่ John McCarthy (Dartmouth College), Marvin Minsky (Harvard University), Nathaniel Rochester (IBM) และ Claude Shannon (Bell Telephone Laboratories) โดยมีจุดประสงค์หลักของงานวิจัย คือ การค้นหามุมมองและหลักการต่าง ๆ ที่ใช้การเรียนรู้อย่างครอบคลุมเพื่อที่จะนำมาประยุกต์ใช้ให้เครื่องจักรหรือคอมพิวเตอร์สามารถเรียนรู้และต่อยอดองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง

รูป : ภาพแสดงแนวโน้มพัฒนาการของ AI Machine Learning และ Deep Learning)

ขอบคุณภาพจาก https://www.depa.or.th/storage/app/uploads/public/5cd/4c9/6ab/5cd4c96aba5a4634277265.png

8 ตัวอย่างเทคโนโลยี AI ยอดฮิตในชีวิตประจำวัน

1. โซเชียลมีเดีย

การเริ่มต้นวันของหลาย ๆ คนอาจเริ่มจากการเช็กข่าวสารหรือเรื่องราวอัปเดตบนโลกโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram, Twitter และอื่น ๆ ล้วนแล้วแต่มีเทคโนโลยี AI หรือปัญญาประดิษฐ์อยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเครื่องมือที่ทำหน้าที่ในการเลือกโพสต์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผู้ใช้สนใจขึ้นมาโชว์บนหน้าไทม์ไลน์ โดยวิเคราะห์และประมวลผลจากความสนใจและพฤติกรรมต่าง ๆ บนโซเชียลมีเดียในอดีตของบัญชีนั้น ๆ 

นอกจากนี้การแนะนำเพื่อนที่คุณอาจจะรู้จัก กรองข่าวปลอม ป้องกันไม่ให้เกิดการกลั่นแกล้งคุกคามผ่านโลกไซเบอร์ (Cyberbullying) ล้วนแต่เป็นการดูแลและควบคุมผ่านการทำงานของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่ใช้หลักการเรียนรู้ในรูปแบบของ Machine Learning เป็นตัวกลั่นกรองและประมวลผลข้อมูลอีกด้วย

ภาพประกอบ: โซเชียลมีเดียต่าง ๆ ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในการคัดเลือกเนื้อหาที่แต่ละคนสนใจ

ขอบคุณภาพ https://unsplash.com/photos/person-holding-space-gray-iphone-x-FVtG38Cjc_k

2. การค้นหาบน Google

อย่างน้อยใน 1 วันเราล้วนทำการค้นหาบน Google ไม่ต่ำกว่า 1 ครั้งอย่างแน่นอนไม่ว่าจะเป็นความต้องการหาคำตอบเกี่ยวอะไรบางอย่าง หรือหาสินค้าและบริการที่เราต้องการรู้จัก หรือด้วยเหตุผลอื่น ๆ อะไรก็แล้วแต่ การทำงานของ Search Engines เพียงอย่างเดียวนั้นย่อมไม่สามารถค้นหาข้อมูลทั่วอินเทอร์เน็ตที่ตรงใจเรา 100% ได้อย่างแน่นอน ดังนั้น จึงต้องพึ่งเทคโนโลยี AI เพื่อให้ได้คำตอบที่ผู้ใช้ต้องการที่สุดนั่นเอง

นอกจากนี้โฆษณาที่ตามเราไปทุกที่ ไม่ว่าจะใช้แอปพลิเคชันอะไร ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ล้วนเป็นฝีมือของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เช่นกัน โดยดูจากการค้นหาในอดีต ข้อมูลต่าง ๆ ที่เราได้พูดถึง ปัญญาประดิษฐ์จะตรวจจับและเก็บข้อมูลไว้เพื่อนำไปวิเคราะห์ประมวลผลและนำเสนอให้กับผู้ใช้แต่ละบุคคล (Personalize) โดยมีเป้าหมาย คือ การนำเสนอสิ่งที่ผู้ใช้แต่ละคนสนใจ

3. การสั่งงานด้วยเสียง

ตัวช่วยในการสั่งงานด้วยเสียงกลายเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกที่หลาย ๆ คนขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวัน โดยตัวอย่างผู้ช่วยในการสั่งงานด้วยเสียง ได้แก่ Siri, Alexa, Google home และ Cortana โดยเครื่องมือเหล่านี้มีการใช้ระบบการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing) โดยเทคโนโลยี AI จะประมวลผล และตอบคำถามหรือทำตามคำสั่งตามที่ผู้ใช้งานต้องการ

ภาพประกอบ: Siri เป็นผู้ช่วยในการสั่งงานด้วยเสียงในระบบปฏิบัติการ ios

ขอบคุณภาพ https://unsplash.com/photos/black-android-smartphone-on-white-table-AGRtDoZlpYw

4. อุปกรณ์สมาร์ตโฮม

หลาย ๆ บ้านอาจจะคุ้นเคยกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ที่เปลี่ยนจากบ้านธรรมดา ๆ กลายเป็นบ้านที่มีความฉลาด มีระบบอัตโนมัติและสามารถควบคุมคำสั่งได้จากทุก ๆ ที่ตามความต้องการของเจ้าของบ้าน โดยยกตัวอย่างเช่น บ้านสมาร์ตโฮมที่มีเครื่องควบคุมอุณหภูมิอัจฉริยะอย่าง Nest ที่สามารถเรียนรู้เกี่ยวกับการปรับอุณหภูมิตามความเหมาะสมของผู้อยู่อาศัย รวมถึงตู้เย็นอัจฉริยะที่สามารถแจ้งเตือนคุณถึงสิ่งต่าง ๆ ในตู้เย็นที่มีเหลืออยู่เท่าใดซึ่งช่วยให้ง่ายต่อการจัดการ เป็นต้น

5. การเดินทางไปทำงาน

ปฏิเสธไม่ได้ว่าในปัจจุบันไม่มีใครที่จะคอยกางแผนที่ตลอดเวลาเมื่อเดินทาง ทุก ๆ คนล้วนให้ Google maps หรือแอปพลิเคชันการเดินทางอื่น ๆ ด้วยกันทั้งสิ้น โดยแอปพลิเคชันเหล่านี้ก็มีการใช้เครื่องมือจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI เป็นตัวช่วยในการติดตามการจราจร รวมถึงสภาพอากาศแบบเรียลไทม์ เพื่อวิเคราะห์และประมวลผลให้ได้เส้นทางที่ทำให้คุณสามารถถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วที่สุด รวมถึงแนะนำเส้นทางที่สามารถเลี่ยงการจราจรที่หนาแน่นได้ นอกจากนั้นรถบางคันอาจใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการพัฒนาระบบเทคโนโลยีการช่วยเหลือผู้ขับ เช่น ในประเทศสหรัฐอเมริกา รัฐแคลิฟอร์เนีย สามารถใช้บริการ Self-driving car จากบริษัทลูกของ Google ที่ชื่อว่า Waymo ได้ เป็นต้น

ภาพประกอบ: บริการ Self-driving car จากบริษัทลูกของ Google ที่ชื่อว่า Waymo

ขอบคุณภาพ https://unsplash.com/photos/a-car-that-is-driving-down-the-street-Qr67ewAPBvY

6. ธุรกรรมทางการเงิน

ในการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในการทำธุรกรรมทางการเงินนั้น ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับเรื่องของความปลอดภัยและป้องกันการทุจริต ระบบ AI เป็นเทคโนโลยีที่คอยทำการตรวจสอบอยู่เบื้องหลังกิจกรรมเหล่านี้ เช่น การฝากเช็คด้วยการสแกนด้วยมือถือ ระบบแจ้งเตือนเมื่อยอดเงินคงเหลือต่ำ หรือแม้แต่กระทั่งพฤติกรรมการล็อกอินเข้าไปใช้ระบบ Mobile banking 

7. แอปพลิเคชันเกี่ยวกับการสตรีมมิ่งภาพยนต์หรือซีรีส์

แอปพลิเคชันสตรีมมิ่งภาพยนตร์ต่าง ๆ ที่หลาย ๆ คนเลือกที่จะใช้เวลาพักผ่อนไปกับการเลือกดูหนังหรือซีรีส์โดยยกตัวอย่างแอปพลิเคชันที่นิยมกันอย่าง Netflix นั้น ที่มีการแนะนำรายการหรือคอนเทนต์ต่าง ๆ ให้กับคุณล้วนใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เป็นเครื่องมือในการประมวลผลทั้งสิ้น โดยเก็บข้อมูลจากพฤติกรรมการใช้งานของคุณ เช่น ประวัติการดู นักแสดง ระยะเวลาที่ดูหนังเรื่องนั้น และปัจจัยอื่น ๆ และจากการสำรวจจาก Netflix จะพบได้ว่า 80% ของภาพยนตร์ ผู้ใช้งานเลือกดูจากระบบการแนะนำนั่นเอง

ภาพประกอบ: Netflix เก็บข้อมูลจากพฤติกรรมการใช้งาน

ขอบคุณภาพ https://unsplash.com/photos/computer-monitor-showing-netflix-selection-screen-MDUI8XIq6Mc

8. แอปพลิเคชันเกี่ยวกับการสตรีมมิ่งเพลง

ในการใช้งานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ของแอปพลิเคชันเกี่ยวกับการสตรีมมิ่งเพลง เช่น Spotify, Apple music, Tidal นั้นก็มีลักษณะที่คล้ายกับ Netflix ที่ศึกษาและเก็บข้อมูลจากพฤติกรรมของผู้ใช้งานและนำมาวิเคราะห์ผล แต่สิ่งที่แตกต่างระหว่างแอปพลิเคชันสตรีมมิ่งภาพยนตร์กับแอปพลิเคชันสตรีมมิ่งเพลง คือ Spotify จะนำข้อมูลเหล่านั้นมาจัดเพลย์ลิสต์หรือแทรกเพลงที่น่าสนใจผ่านระบบ Smart Shuffle ให้กับคุณนั่นเอง

บทความที่เกี่ยวข้อง